ประเพณีและวัฒนธรรมของแต่ละภาคในประเทศไทย
วัฒนธรรมของแต่ละท้องถิ่นมีมากมายและครอบคลุมการดำเนินชีวิตทุกด้านของผู้คนที่อาศัยในท้องถิ่นแห่งนั้นๆ ทั้งทางด้านอาหาร เครื่องแต่งกาย ที่อยู่อาศัย ศิลปะ ศาสนา และลัทธิความเชื่อ ยารักษาโรค ประติมากรรมหัตถกรรม และการดำรงชีวิตตามสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ เป็นต้น
ในที่นี้จะกล่าวได้เพียงตัวอย่างบางด้าน เพื่อนักเรียนใช้เป็นแนวทางในการสืบค้นหาความรู้ด้านวัฒนธรรมในท้องถิ่นต่อไป
วัฒนธรรมท้องถิ่นภาคเหนือ
(การฟ้อนเล็บ วัฒนธรรมภาคเหนือ)
เป็นวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยเฉพาะวัฒนธรรมของชาวล้านนาที่ยังคงยึดมั่นในขนบธรรมประเพณีของพระพุทธศาสนา ที่แสดงออกถึงมิตรไมตรีและความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกน มีการสืบทอดมาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน จึงถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญยิ่งที่คนคนท้องถิ่นในภาคเหนือยังรักษาไว้จนถึงปัจจุบัน ในที่นี้จะกล่าวถึงตัวอย่างวัฒนธรรมที่สำคัญ
1.ด้านอาหาร โดยตัวอย่างของวัฒนธรรมในด้านนี้ ได้แก่ ระเพณีเลี้ยงข้าวแลงขันโตกหรือกิ๋นข้าวแลงขันโตก เป็นประเพณีของชาวล้านนา ผู้ที่อาศัยอยู่ในจังหวัดทางภาคเหนือตอนบนและใช้ภาษไทยเหนือเป็นภาพูด มีการตกแต่งสถานที่อย่างสวยงามมีอาหารภาคเหนือมากมายหลายชนิด เจ้าภาพเหรื่อจะแต่งกายแบบพื้นเมืองทั้งชายหญิง งานเลี้ยงขันโตกจะเริ่มด้วยขบวนแห่นำขบวนขันโตกด้วยสาวงามช่างฟ้อน ตามมาด้วยคนหาบกระติบหลวง ขบวนแห่นี้จะผสมผสานกับเสียงดนตรีโห่ร้องแสดงความชื่นชมยินดี เมื่อมาถึงงานเลี้ยงแล้วก็จะนำกระติบหลวงไปวางไว้กลางงานแล้วนำข้าวนึ่งในกระติบแบ่งปันใส่กระติบเล็กๆแจกจ่ายไปตามโตกต่างๆ จนทั่วบริเวณงาน ซึ่งมีโตกใส่สำหรับกับข้าวเตรียมไว้ก่อนแล้ว อาหารที่เลี้ยงกันนั้นนอกจากจะมีข้าวนึ่งเป็นหลักแล้ว ก็มีกับข้าวแบบของชาวเหนือ คือ แกงฮังเล แกงอ่อม แกงแค ไส้อั่ว น้ำพริก อ่อง น้ำพริกหนุ่ม แคบหมู ผักสด และของหวาน เช่น ขนมปาด ข้าวแต๋น เป็นต้น
2.ด้านศาสนาและลัทธิความเชื่อ ตัวอย่างวัฒนธรรมในด้านนี้ ได้แก่ งานทำบุญทอดผ้าป่าแถว งานทำบุญตานก๋วยสลากหรือ การทำบุญสลากภัต (ทานสลาก) ประเพณีการสืบชะตา เป็นต้น
1. การทำบุญทอดผ้าป่าแถว จะกระทำกันในเขตตัวอำเภอและอำเภอรอบนอกของจังหวัดกำแพงเพชร โดยกระทำพร้อมกันทุกวัดในคืนวันลอยกระทงหรือวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 โดยชาวบ้านแต่ละครอบครัวเรือนจะจัดหากิ่งไม้ เทียนไข ผ้า ข้าวสาร อาหารแห้ง ผลไม้ และบริขารของใช้ต่าง ๆ พอตกกลางคืนเวลาราว 19.00 น. ชาวบ้านจะนำองค์ผ้าป่าไปไว้ในลานวัด จัดให้เป็นแนวเป็นระเบียบแล้วนำผ้าพาดบนกิ่งไม้ นำเครื่องไทยธรรมที่เตรียมไว้มาวางใต้กิ่งไม้พอถึงเวลามรรคนายกวัดจะป่าวร้องให้เจ้าของผ้าป่าไปจับสลากรายนามพระภิกษุ เมื่อได้นามพระภิกษุแล้วเจ้าของผ้าป่าจะเอามากลัดติดไว้กับผ้าที่ห้อยอยู่บนกิ่งไม้ของตน และพากันหลบไปแอบอยู่ในเงามืดเฝ้ารอดูด้วยความสงบว่าพระภิกษุรูปใดจะมาชักผ้าป่าของตน เมื่อพระภิกษุชักผ้าป่าเรียบร้อยแล้ว พระภิกษุทุกรูปจะไปนั่งรวมกันแล้วให้ศีลเจริญพระพุทธมนต์ อวยพร เมื่อเสร็จสิ้นเสียงพระสงฆ์ มหรสพต่าง ๆ จะทำการแสดงทันที
2.งานทำบุญตานก๋วยสลากหรือการทำบุญสลากภัต (ทานสลาก) จะทำในช่วงวันเพ็ญเดือน 12 (วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12) ถึงเดือนเกี๋ยงดับ (วันแรม 15 ค่ำ เดือน 12) หรือราวเดือนตุลาคม – พฤศจิกายนของทุกปี ชาวเหนือหรือชาวล้านนาไทยจะทำบุญตานก๋วยสลากหรือกิ๋นก๋วยสลาก โดยวันแรกแต่ละครอบครัวหรือคณะศรัทธาจะเตรียมงานต่าง ๆ หรือเรียกว่า “วันดา” ผู้หญิงจะไปจ่ายตลาดหาซื้อของ ส่วนผู้ชายจะเหลาตอกสานก๋วยไว้หลาย ๆ ใบจากนั้นนำมากรุด้วยใบตองหรือกระดาษปิดมัดก๋วยรวมกันเป็นมัดๆ สำหรับเป็นที่จับ ตรงส่วนที่ราบไว้นี้ชาวบ้านจะเสียบไม้ไผ่และสอดเงินไว้เป็นเสมือนยอด ก๋วยสลากมี 2 ชนิด คือ ก๋วยเล็กจะมียอดเงินไม่มากนักใช้เพื่ออุทิศส่วนกุศลไปให้ผีปู่ย่าตายายที่ล่วงลับหรืออุทิศส่วนกุศลเพื่อตนเองในภายภาคหน้า ส่วนอีกชนิดหนึ่งเป็นก๋วยใหญ่ เรียกว่าสลากโจ้ก (สลากโชค) ส่วนมากจะจัดทำขึ้น เพื่อให้อานิสงส์เกิดแก่ตนเอง ในภพหน้าจะได้มีกินมีใช้ มั่งมีศรีสุขเหมือนในชาตินี้ งานทำบุญตานก๋วยสลากหรืองานบุญสลากภัตมีคติสอนใจให้คนเรารู้จักรักใคร่สามัคคีกัน เกิดความปรองดองในหมู่ญาติพี่น้องและเพื่อนบ้าน ขณะเดียวกันในทางคติธรรมจะมีคติสอนใจพระสงฆ์และสามเณรมิให้ยึดคติในลาภลักการะทั้งหลาย โดยเฉพาะก๋วยสลากที่ญาติโยมนำมาถวายนั้นอาจมีเล็กบ้างใหญ่บ้าง มีเงินมากน้อยต่างกัน การจับสลากจึงยังผลให้พระสงฆ์รู้จักตัดกิเลส การทำบุญโดยไม่เจาะจงพระผู้รับสิ่งบริจาคนี้ ถือเป็นการทำความดีเพื่อความดีจริง ๆ ตามอุดมการณ์ เพื่อความสุขของจิตใจโดยแท้
3.งานประเพณีการสืบชะตาหรือการต่ออายุ ได้รับอิทธิพลจากพระพุทธศาสนากระทำขึ้นเพื่อยืดชีวิตด้วยการทำพิธีเพื่อให้เกิดพลังรอดพ้นความตายได้ เป็นประเพณีที่คนล้านนานิยมกระทำจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ ประเพณีการสืบชะตาคน ประเพณีการสืบชะตาบ้าน และสิบชะตาเมือง
ประเพณีของภาคเหนือ
(ประเพณียี่เป็ง)
ในพงศาวดารโยนกและจามเทวี ได้บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับประเพณียี่เป็งเอาไว้ว่า ครั้งหนึ่งเมื่อบ้านเมืองเกิดภัยร้ายแรงด้วยโรคอหิวาตกโรคขึ้นที่แคว้นหริภุญไชย ชาวเมืองล้มตายเป็นจำนวนมาก ทำให้ชาวเมืองที่เหลือต้องอพยพไปอยู่เมืองหงสาวดีนานถึง 6 ปี จึงกลับคืนสู่บ้านเมืองเดิม ครั้นถึงเวลาเวียนมาบรรจบครบวันที่ต้องจากบ้านเมืองไป จึงได้ทำพิธีรำลึกถึงญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้วด้วยการทำกระถางใส่เครื่องสักการบูชา ธูปเทียนลอย แล้วนำไปลอยตามน้ำ เรียกว่า การลอยโขมดหรือลอยไฟ นั่นจึงเป็นที่มาของประเพณียี่เป็งที่มีมาจนถึงทุกวันนี้
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับประเพณียี่เป็ง
ยี่เป็ง มาจากคำว่า ยี่ ซึ่งแปลว่า สอง ส่วนคำว่า เป็ง มาจากคำว่า เพ็ญ ประเพณียี่เป็งจึงเป็นประเพณีที่จัดขึ้นในวันเพ็ญเดือนสิบสอง
วัฒนธรรมท้องถิ่นภาคกลาง
(การรำเกี่ยวข้าว วัฒนธรรมภาคกลาง)
วัฒนธรรมท้องถิ่น ภาคกลางส่วนใหญ่เป็นวัฒนธรรมที่เกี่ยวเนื่องกับพระพุทธศาสนาเช่นเดียวกันกับวัฒนธรรมท้องถิ่นภาคเหนือ แต่มีลักษณะที่แตกต่างกันออกไปบ้าง เนื่องจากสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ สังคม และค่านิยมในท้องถิ่นที่แตกต่างกัน ลักษณะวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีโดยรวมมีความเกี่ยวเนื่องกับพิธีกรรมในพระพุทธศาสนา และพิธีกรรมเกี่ยวกับคามเชื่อในการดำเนินชีวิต ซึ่งถือว่าเป็นเอกลักษณ์ที่สำคัญของวัฒนธรรมไทย ตัวอย่างของวัฒนธรรมทางภาคกลางที่สำคัญ มีดังนี้
1.ด้านศาสนาและลัทธิความเชื่อ เช่น ประเพณีการรับบัวโยนบัว การบูชารอยพระพุทธบาทเป็นต้น
2.ด้านที่เกี่ยวกับการดำรงชีวิตทางการเกษตร ได้แก่
การทำขวัญข้าวเป็นประเพณีที่ยังคงทำกันอย่างกว้างขวางในหมู่ของคนไทยภาคกลาง ไทยพวน และไทยอีสานทั่วไป โดยจะนิยมทำกันเป็นระยะ คือ ก่อนข้าวออกรวง
3.ด้านยาและการรักษาพื้นบ้าน จากการศึกษาค้นคว้าและรวบรวมตำรายาพื้นบ้านในจังหวัดชลบุรี โดยได้มีการสัมภาษณ์แพทย์แผนโบราณ และค้นคว้าจากตำราที่บันทึกอยู่ในใบลาน สมุดข่อยขาว สมุดข่อยดำ พบว่ามีตำรายาไทยแผนโบราณทั้งหมด 318 ขนาน ที่ยังใช้อยู่ในปัจจุบันมี 138 ขนาน
ประเพณีของภาคกลาง
(ประเพณีรับบัว)
"การเป็นผู้มีน้ำใจไมตรี" เป็นลักษณะเด่นของคนไทยประการหนึ่ง เราคงไม่ปฏิเสธกันว่าคนไทยเป็นผู้ที่ร่ำรวยน้ำใจ ยากที่จะหาประชากรในประเทศใดในโลกเทียมได้ แม้แต่ชาวต่างประเทศก็ยอมรับในความมีน้ำใจไมตรีของคนไทยเช่นกัน จนได้ให้สมญาประเทศไทยว่า "สยามเมืองยิ้ม" ดังเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปแล้วนั่นเอง และชาวอำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการมีสิ่งหนึ่งที่ช่วยยืนยันถึงความเป็นผู้มีน้ำใจไมตรีของคนไทยเช่นกัน สิ่งนั้นคือมรดกทางวัฒนธรรมที่บรรพบุรุษของชาวบางพลีได้มอบไว้ให้ลูกหลานของตน นั่นคือ "ประเพณีรับบัว" ประเพณีรับบัว เป็นประเพณีเก่าแก่ที่เกิดและจัดขึ้นในอำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ มาช้านานแต่เพิ่งปรากฏหลักฐานในราว พ.ศ. ๒๔๖๗ ว่าเดิมจัดในวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๑ ของทุกปี และจากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ชาวอำเภอบางพลี ได้เล่าให้ฟังเกี่ยวกับประเพณีรับบัวว่า "ในสมัยก่อนโน้น อำเภอบางพลี มีดอกบัวมากมายตามลำคลอง หนองบึงต่างๆเป็นที่ต้องการของพุทธศาสนิกชน ในอันที่จะนำไปบูชาพระ เหตุที่เกิดประเพณีรับบัว เกิดจากชาวอำเภอพระประแดง และชาวอำเภอเมืองสมุทรปราการ ที่เป็นชาวมอญ ต้องการนำดอกบัวไปบูชาพระคาถาพันและบูชาพระในเทศกาลออกพรรษา ดังนั้นเมื่อถึงวันขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือน ๑๑ ประชาชนทั้งสองอำเภอนี้ ได้ชักชวนกันพายเรือมาตามลำคลองสำโรงเพื่อมาเก็บดอกบัว เมื่อเก็บได้เพียงพอแล้วก็จะเดินทางกลับบ้านของตนในวันรุ่งขึ้น (ขึ้น ๑๔ ค่ำ) ต่อมาชาวอำเภอบางพลี มีน้ำใจที่จะอำนวยความสะดวกให้ในฐานะที่ตนเป็นเจ้าของบ้าน เมื่อถึงวันขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือน ๑๑ ของทุกปี ก็จะร่วมแรงร่วมใจกันเก็บดอกบัวและเตรียมอาหารคาวหวานไว้เพื่อรอรับชาวอำเภอพระประแดงและชาวอำเภอเมืองฯ เช้าตรู่ของวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๑ ขบวนเรือพายของชาวอำเภอพระประแดงและชาวอำเภอเมืองฯก็จะมาถึงหมู่บ้านบางพลีใหญ่ เมื่อรับประทานอาหารที่ชาวอำเภอบางพลีเตรียมไว้ต้อนรับจนอิ่มหนำสำราญดีแล้ว ก็จะพายเรือไปตามลำคลองสำโรง เพื่อขอรับดอกบัวจากชาวอำเภอบางพลีทั้งสองฝั่งคลอง การส่งมอบดอกบัวจะทำกันอย่างสุภาพ คือส่งและรับบัวกันมือต่อมือ โดยผู้ให้และผู้รับพนมมือตั้งจิตอธิษฐานอนุโมทนาผลบุญร่วมกัน การกระทำเช่นนี้เองจึงได้ชื่อว่าการ "รับบัว" เมื่อปฏิบัติติดต่อกันหลายๆปี จึงได้กลายเป็น "ประเพณีรับบัว" ไปในที่สุด" นับตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๒๘ ถึงปัจจุบัน
วัฒนธรรมท้องถิ่นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
(การเซิ้งบั้งไฟ)
ชนพื้นเมืองถิ่นอีสานดำรงชีวิตอย่างเรียบง่าย มีโครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรมเป็นเอกลักษณ์บนพื้นฐานประวัติศาสตร์อันยาวนาน วัฒนธรรมต่าง ๆ ของภาคอีสานเป็นการนำแนวความคิด ความศรัทธา และความเชื่อที่ได้สั่งสมและสืบทอดเป้นมรดกต่อกันมา ตัวอย่างวัฒนธรรมในด้านต่างๆ มีดังนี้
1.ด้านอาหาร วัฒนธรรมเกี่ยวกับพืชผักและกรรมวิธีในการปรุงอาหารของชาวอีสานพบว่า พืชผักพื้นบ้านที่ชาวบ้านบริโภคมีจำนวน 99 ชนิด แบ่งออกเป็นพืชน้ำ 10 ชนิด พืชบก 89 ชนิด พืชเหล่านี้มีบริโภคตลอดปี 57 ชนิด ส่วนที่เหลือเป็นพืชผักตามฤดูกาลพืชผักดังกล่าว กองโภชนาการ กระทรวงสาธารณสุขได้วิเคราะห์สารอาหารแล้วจำนวน 44 ชนิด ซึ่งต่างให้คุณค่าทางโภชนาการมากมาย บางชนิดเป็นยาสมุนไพรสามารถป้องกันรักษาโรคภัยต่างๆ ได้
2.ด้านศาสนาและลัทธิความเชื่อ เช่น บุญบั้งไฟ การแห่ผีตาโขน เป็นต้น
บุญบั้งไฟ เป็นประเพณีสำคัญของชาวอีสาน นิยมทำในงานเทศกาลเดือนห้าฟ้าหก (ราวเดือนเมษายน-พฤษภาคมของปี) ในช่วงนี้ชาวนาจะเตรียมไถนาจึงขอให้ฝนตกจากความเชื่อในเรื่องของสิ่งลี้ลับและเทวดาหรือพญาแถนที่อยู่บนสวรรค์ สามารถบันดาลให้ฝนตกฟ้าร้องได้ จึงมีการจัดพิธีบูชาพญาแถนทุกปีด้วยการทำบั้งไฟ
3.ด้านที่เกี่ยวกับการดำรงชีวิตทางการเกษตร ได้แก่ งานบุญคูนลานเมื่อชาวนาในพื้นถิ่นอีสานเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จ ก็จะมัดข้าวที่เกี่ยวเป็นฟ่อน และนำฟ่อนข้าวมารวมกองไว้ที่ลานเพื่อนวด และเมื่อนวดข้าวเสร็จก็นิยมทำกองข้าวที่นวดให้สูงขึ้นจากพื้นลานเรียกว่า “คูนลาน” ผู้ที่ได้ข้าวมากก็มักจะจัดทำบุญกองข้าวที่นวดให้สูงขึ้นจากพื้นลานเรียกว่า “คูนลาน” ผู้ที่ได้ข้าวมากก็มักจะจัดทำบุญกองข้าวขึ้นที่ลาน
วัฒนธรรมท้องถิ่นภาคใต้
(การรำโนรา)
ภาคใต้มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาอันยาวนาน เป็นแหล่งรับอารยธรรมจากพระพุทธศาสนา
ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และศาสนาอิสลาม ซึ่งได้หล่อหลอมเข้ากับความเชื่อดั่งเดิม ก่อให้เกิดการบรูณาการเป็นวัฒนธรรมท้องถิ่นภาคใต้
1.ด้านอาหาร ได้แก่ ประเพณีกินผักหรือที่ชาวบ้านและชาวจีนที่อยู่ในจังหวัดภูเก็ตเรียกกันว่า “เจี๊ยฉ่าย” เป็นประเพณีที่คนจีนนับถือมาช้านาน โดยเฉพาะคนจีนฮกเกี้ยนวันประกอบพิธีจะตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 9 ถึงวันขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 ตามปฏิทินจีนของทุกๆ ปี
2.ด้านศาสนาและลัทธิความเชื่อ เช่น ประเพณีลากพระ ประเพณีสารทเดือนสิบ เป็นต้น
ประเพณีลากพระ ชักพระ หรือแห่พระ ชาวใต้ปฏิบัติกันมานานตั้งแต่ครั้งโบราณกาล ชาวบ้านที่เป็นพุทธศาสนิกชนจะพร้อมใจกันอัญเชิญพระพุทธรูปจากวัดขึ้นประดิษฐานบน “นมพระ” หรือบุษบกที่วางอยู่ตรงกลางร้านไม้ ร้านไม้นี้จะวางไว้บนไม้ขนาดใหญ่สองท่อนอีกทีหนึ่ง หรือใช้นมพระวางบนล้อเลื่อน รถ หรือเรือ แล้วลากหรือชักแห่ไปตามถนนหนทางตามแม่น้ำลำคลอง หรือริมฝั่งทะเล เคยมีผู้สันนิษฐานว่าประเพณีลากพระเกิดขึ้นในประเทศอินเดียตามลัทธิของพราหมณ์ที่นิยมเอาเทวรูปออกแห่แหนในโอกาสต่างๆ และชาวพุทธได้นำเอาประเพณีนั้นมาดัดแปลง
3.ด้านศิลปะ ได้แก่ การรำโนราซึ่งเป็นศิลปะพื้นบ้านที่เก่าแก่ของภาคใต้ โดยนอกจากจะแสดงเพื่อความบันเทิงแล้วยังแสดงเพื่อประกอบพิธีกรรมที่เรียกว่า โนรา โรงครูหรือโนราลงครู อีกด้วย พิธีกรรมนี้มีจุดมุ่งหมายในการจัดเพื่อไหว้ครูหรือไหว้ตายายโนรา อันเป็นการแสดงความกตัญญูรู้คุณต่อครู เพื่อทำพิธีแก้บน เพื่อทำพิธียอมรับเป็นศิลปินโนราคนใหม่ และเพื่อประกอบพิธีเบ็ดเตล็ดต่างๆ
ขนบธรรมเนียมประเพณี ความเชื่อ และศาสนา ที่มีอยู่ในแต่ละท้องถิ่นเป็นวัฒนธรรมเฉพาะของแต่ละท้องถิ่นที่มีอยู่ในภูมิภาคนั้น ๆ จึงถือเป็นหัวข้อที่น่าศึกษา เพราะหากคนไทยและเยาวชนไทยตระหนักและเรียนรู้วัฒนธรรมไทย จะก่อให้เกิดความสำนึกและความภูมิใจในความเป็นไทยอันจะนำไปสู่การสร้างสรรค์ร่วมกัน และพัฒนาให้ทั่วทุกภูมิภาคของไทยเจริญรุ่งเรืองต่อไปได้
ที่มา : https://sites.google.com/site/30279get/home/wathnthrrm-tang-ni-phumiphakh-khxng-thiy
ที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki/ประเพณีรับบัว
ที่มา : https://www.google.co.th/imghp
ที่มา : https://www.youtube.com/watch?v=p54iGzTsPAg
ที่มา : https://www.youtube.com/watch?v=p54iGzTsPAg
สมาชิกในกลุ่ม หน้าที่
เด็กชายชัยณัฐ ชาญสมร เลขที่ 4 สืบค้นข้อมูล
เด็กชายศรศิลป์ แก้วใสแสง เลขที่ 9 สืบค้นข้อมูล
เด็กหญิงพรนิตา ย่างกุ้ง เลขที่ 23 ตกแต่งบล็อก (รองประธาน)
เด็กหญิงมัทรี มาแขก เลขที่ 29 ตกแต่งบล็อก (ประธาน)
เด็กหญิงวิภาวดี ดียามา เลขที่ 33 สร้างบล็อก (รองประธาน)
The 10 Best Slots in Las Vegas - Mapyro
ตอบลบTop 20 Best Las Vegas Casinos 안산 출장안마 · 1. MGM National 순천 출장마사지 Harbor · 인천광역 출장마사지 2. Tropicana Las Vegas · 파주 출장안마 3. Bellagio Las Vegas · 4. Bellagio Las 광명 출장마사지 Vegas · 5. Caesars Las